ภาวะพิเศษ
หมายถึง ภาวะทีร่างกายมีความต้องการปริมาณพลังงานและสารอาหารที่แตกต่างจากภาวะปกติโดยปกติพลังงานที่ร่างกายต้องการจะเปลี่ยนแปลงไปตามเพศ
วัย และบางสภาวะ บุคคลปกติที่จัดอยู่ในภาวะพิเศษ ได้แก่ วัยทารก
เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน วัยรุ่น วัยสูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร
และนักกีฬา
ทารก
หมายถึง เด็กทารกแรกเกิดถึงอายุ 1 ปีเป็นวัยที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง
จะเห็นได้จากการทารกมีการเจริญเติบโตรวดเร็วมากปกติทารกแรกเกิดจะมีน้ำหนักประมาณ
2,500-4000 กรัมลำตัวยาวประมาณ 50
เซนติเมตรความยาวรอบศีรษะประมาณ 35 เซนติเมตร ดังนั้นทารกจึงมีความต้องการอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อร่างกายเพื่อให้ร่างกายสามารถนำพลังงานที่ได้รับจากสารอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโตทั้งในด้านการเพิ่มน้ำหนักตัวของร่างกายเพิ่มความยาวของลำตัว
และการเพิ่มเส้นรอบศีรษะซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้เกิดพัฒนาการทางสมองและพัฒนาการทางด้านร่างกายที่เป็นไปตามวัย
ซึ่งกรมอนามัยได้กำหนดแบบแผนพัฒนาการด้านร่างกายตามวัยของทารก 1-12เดือนไว้ ทารกช่วงอายุ 3 เดือนถึง 1 ปี
ต้องการพลังงานประมาณวันละ 100 กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1กิโลกรัมซึ่งสูงมากกว่าความต้องการพลังงาในวัยอื่นๆ
ดังนั้นพลังงานหลักที่ทารกควรได้รับควรจะต้องมาจากน้ำนมแม่
นมแม่มีน้ำตาลแลคโตสและน้ำตาลกลุ่มโอลิโกแซคคาไรด์ในปริมาณมาก
โดยในน้ำนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์ธรรมชาติมากกว่า 100 ชนิด มากกว่านมวัว 100 เท่า
สารนี้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่
เชื้อบิฟิโดแบคทีเรีย(Bifidobacteriaspp.)และเชื้อเเล็คโทบาซิลลัส
( Lactobacillus spp.) ซึ่งเป็นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์
เชื้อแบคทีเรียทั้งสองนี้ช่วยให้เกิดการย่อยสลายน้ำตาลและไขมัน เกิดกรดอินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยดึงน้ำเข้าลำไส้ใหญ่
จึงทำให้อุจจาระทารกที่กินนมแม่ นิ่มและถ่ายบ่อย
ภาวะในลำไส้ทารกที่มีความเป็นกรดจะช่วยให้แคลเซียมและเหล็กในน้ำนมถูกดูดซึมได้ดี
จึงช่วยป้องกันภาวะกระดูกอ่อนได้
นอกจากนี้ภาวะกรดในลำไส้ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงในทารก
นอกจากนี้
นมแม่ยังช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันผ่านทางระบบน้ำเหลืองของทางเดินอาหาร
แม่ที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ได้อาจมีสาเหตุมาจากสุขภาพของแม่
เช่น แม่มีหัวนมบอด หัวนมแตก เป็นโรคเรื้อรังหรือสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เช่น
เเม่ที่ทำงานนอกบ้าน
เป็นต้นจึงมีความจำเป็นต้องใช้นมผสมเลี้ยงลูกน้ำนมส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายในห้องตลาด
ส่วนใหญ่มาจากนมวัวและมีการดัดแปลงส่วนประกอบต่างๆให้ใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด ชนิดของนมผสมอาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ
นมผงดัดแปลงสำหรับทารกนมผงตัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก และนมครบส่วน
อย่างไรก็ตาม
นมผสมที่จำหน่ายในห้องตลาดต้องมีการระบุส่วนระกอบและตารางแสดงพฤติกรรมทางโภชนาการอย่างชัดเจนในผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริโภคจะได้ทราบชื่อ ลักษณะการใช้การเตรียม
การเก็บรักษาและข้อควรระวังซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค
ในปีค.ศ
2002 องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เริ่มอาหารเสริมครั้งแรกแก่ทารกเมื่ออายุ 6
เดือนขึ้นไปและทารกที่อายุ 4-6 เดือนที่ได้รับนมแม่อย่างเดียว
แต่น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์ทั้งที่ได้รับนมแม่อย่างเหมาะสม แต่ทารกก็ยังมีการแสดงออกว่า
หิว ควรพิจารณาให้อาหารเสริมเพิ่มเติม
แต่ต้องไม่ให้บ่อยจนได้รับนมแม่ลดลงหรือหย่านมเร็วไปหลักในการให้อาหารเสริมแก่ทารกควรคำนึงถึงสารอาหารหลักที่ให้พลังงานเช่นเดียวกับบุคคลวัยปกติ
ประกอบด้วยสารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและทำให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นั่นคือใช้แนวทางการจัดอาหารให้ครบ 5 หมู่
สำหรับปริมาณอาหารเสริมที่ให้ควรยืดหยุ่นตามปริมาณที่ทารกยอมรับได้
สำหรับอาหารคาร์โบไฮเดรตได้แก่ ธัญชาติและแป้ง เช่น ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต ขนมปัง
ควรเตรียมให้มีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม โดยการทำให้สุก
และควรงดน้ำวานน้ำอัดลมและไม่ควรผสมกลูโคสในน้ำให้ทารก เพราะทำให้เด็กไม่ดูดนม
และไม่ยอมกินอาหารที่มีประโยชน์อาจทำให้เกิดโรคขาดโปรตีนและพลังงานได้และควรให้น้ำนมแก่ทารกทุกครั้ง
หลังจากได้อาหารเสริมแล้ว
อาหารเสริมควบถ้วนเป็นอาหารเสริมสำเร็จรูปมักทำจากธัญชาติผสมกับถั่วนมผงอาจมีการเสริมวิตามินและเกลือแร่เพื่อให้สารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของทารก
คือโปรตีนไม่น้อยกว่า 2.5 กรัมไขมันไม่น้อยกว่า 2 กรัม กรดไขมันจำเป็นไม่น้อยกว่า
300 มิลลิกรัมต่อ 100 กิโลแคลอรีและกรดไขมันสายยาวไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของพลังงานมีกลิ่นรสตามลักษณะอาหารเสริมไม่ใช้วัตถุให้ความหวานและวัตถุกันเสียซึ่งอาหารเสริมสำเร็จรูเหล่านี้เหมาะสำหรับแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านส่วนใหญ่มักมีราคาแพง
ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการให้อาหารเสริมเกทารกได้แก่เส้นใยอาหารและรสชาติของอาหารการให้เส้นใยอาหารในปริมาณมากเกินไป
จะลดการดูดซึมของโปรตีน
รวมทั้งเกลือแร่ทีจำเป็นต่อร่างกายและอาจส่งผลเสียต่อเวลล์เยื่อบุในผนังลำไส้อย่างไรก็ตาม
ควรให้ทารกได้รับเส้นใยบ้างเพื่อลดปัญหาท้องผูกการเพิ่มอาหารที่มีเส้นใย
อาหารอ่อนนุ่มจะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก สำหรับรสชาติของอาหารนั้น อาหารทารกไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งรส อาหารที่ปรุงรสตามความชอบของผู้ใหญ่ เช่น
หวานมากเกินไป
จะทำให้เด็กติดรสชาติและเคยชินให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวเกินและโรคฟันผุติดตามมาภายหลัง
เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน
เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียนเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและสมองจึงต้องการสารอาหารและพลังงานเพื่อใช้สร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ
และเพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานปกติตลอดทั้งกิจกรรมและการออกกำลังกายดังนั้นเด็กวัยนี้ควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการโดยจัดอาหารให้ครบ5หมู่วันละ
3 มื้อ ลักษณะอาหารควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด
เด็กวัยก่อนเรียนหมายถึงเด็กทีมีอายุ
1-6 ปีเป็นวัยก่อนเข้าเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ
การเจริญเติบโตของเด็กวัยนี้ยังคงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านร่างกายและสมอง
แต่ถ้าเปรียบกับวัยทารกแล้วการเจริญเติบโตจะช้าลงแต่ก็เป็นไปอย่างสม่ำเสมอโดยเฉลี่ยเด็กวัยนี้ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละประมาณ2-2½กิโลกรัมส่วนสูงเพิ่มขึ้นเฉลียปีละ
2½-3½
นิ้วต่อปีเด็กในวัยนี้ยังมีอายุน้อยเกินไปที่จะช่วยเหลือตนเองในการรับประทานอาหารจึงมักพบเสมอว่ามีปัญหาการขาดโปรตีนและพลังงานร่างกายอ่อนแอติดเชื้อง่าย
พ่อแม่จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทความสำคัญในการให้ความเอาใจใส่ดูแลและจัดอาหารตามวัยที่เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เด็กวัยเรียน
หมายถึง เด็กทีมีอายุ 7-12 ปีเป็นวัยที่เข้าศึกษาภาคบังคับเด็กวัยนี้มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอหากเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตกับวัยทารกและวัยก่อนเรียนแล้ววัยนี้จะช้ากว่ากล่าวคือน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ
3-3½ กิโลกรัมและส่วนสูงเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2½นิ้วต่อปีในระยะสิ้นสุดของวัยนี้สมองจะเจริญ
เติบโตเท่ากับสมองของผู้ใหญ่
เด็กวัยนี้เป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต
ร่างกายต้องการสร้างเซลล์เนี้อเยื่อกระดูกสันหลังและอวัยวะอื่นๆนอกจากนี้เด็กวัยนี้ยังมีกิจกรรมการออกกำลังกายมากขึ้น
เด็กวัยเรียนและเด็กวัยก่อนเรียนเป็นวัยที่ต้องการพลังงานเพื่อการเจริญเติบโตและทำกิจกรรมต่างๆ
ความต้องการพลังงานขึ้นอยู่กับ ขนาดของร่างกายอายุและกิจกรรมของเด็กแต่ละคน
แหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว
ต้องให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการพลังงานของร่างกาย
ซึ่งอาจจะเป็นการยากที่จะให้เด็กกินข้าวหรือแป้งให้มากพอ ดังนั้น
จึงควรเพิ่มปริมาณไขมันในอาหารเพื่อให้เด็กได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น
หรืออาจให้ขนมที่เป็นประโยชน์เช่นถั่วต้มกล้วยบวดซีเต้าส่วน สาคูถั่วดำ
เพื่อให้ได้คาร์โบไฮเดรตทุกประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น